วันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Woww!!! 7-eleven ปรับโฉมใหม่ [New Look]


 หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา ที่.....



                   ร้านสะดวกซื้ออย่าง 7eleven  ถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ. 1927 หรือ พ.ศ. 2470
ในบ้านเรา 7eleven เป็นที่รู้จักกันมายาวนาน มองย้อนกลับไป 20 ปีที่แล้วร้านสะดวกซื้อที่เปิดให้เปิดการตลอด 24 ชั่วโมง นั้นคงเป็นร้านอะไรไม่ได้นอกจากร้านสะดวกซื้้อ7eleven ที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใครในสมัยนั้น การตกแต่งร้านที่ดูสะอาด สะดวก รวดเร็ว การตลาดที่ทันสมัย ทำให้ทุทุกวันนี้แบนด์ได้ติดตลาดเข้าถึงทุกเพศทุกวัย

                 ปัจจุบันได้กลายเป็นร้านสะดวกซื้อยักษ์ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยจำนวนมากกว่า 50,944 ร้านค้า ใน 16 ประเทศ ซึ่งกว่า 10,200 สาขาจะอยู่ในโซนอเมริกาเหนือ ส่วนในประเทศไทยเองก็ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันมีจำนวนมากกว่า 7,200 สาขา เป็นประเทศที่มีจำนวนสาขามากที่สุดเป็นอันดับ 3 รองจากญี่ปุ่นที่มี 15,504 สาขา และสหรัฐอเมริกาจำนวน 8,144 สาขา ถ้าเรียกเป็นภาษาชาวบ้านก็ได้ว่า
  "ที่ไหนมีมุมตึก ที่นั่นมีเซเว่น"

                                   คอนเซ็ปต์ล่าสุด "หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา (ที่เซเว่นอีเลเว้นท์ ตุ๊งตุ้งตุ๊ง)" ^_____^

                    7-11 นับว่าเป็นธุรกิจแฟรนไชส์อันดับต้นๆของไทยที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามและเติบโตขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง

ชื่อย่อหุ้นที่ใช้เรียกกันเล่นๆ CPALL = เซเว่น, ซาลาเปา
                                      CPF = น้องไก่

มาดู 7eleven  Contemporary Styleกันดีกว่า!!!
ฝีมือการออกแบบของบริษัท WD Partners นอกจากนั้นยังได้เปลี่ยนโลโก้ใหม่ 
โดยโละแถบสีแดง สีส้ม สีเขียว ออกทั้งหมด แล้วใส่เป็นสีดำทั้งหมดแทน
แนวคิดในการออกแบบเพื่อให้เข้ากับตัวกลุ่มเป้าหมายและทำเลที่เป็นคนทำงานนั้นเอง

สาขานี้อยู่ที่ New York
ประเทศไทยก็มีนะ เลื่อนลงมาดูข้างเลยเลย :]










------------------------------------------------------------------------------------------------------------

สาขามณียาชิดลม รูปจาก[หุ้นปันผล]
สาขา Park Venture
สาขาเชียงคาน
สาขาเชียงคาน
สาขาปั๊มปตท.ทางด่วนบางนา
สาขาเชียงคาน



ถูกใจแล้วแบ่งปันได้นะครับ ยินดีๆ ^___________^ 

ฝากเพจด้วยนะครับ ทำไว้แบ่งปันมุมมองดีๆเรื่องการวางแผนทางการเงิน




แหล่งที่มา  : positioningmag.comm
                                underconsideration.com


สร้างแนวคิดเศษฐีด้วย > ถอดรหัสลับสมองเงินล้าน "Secrets of the Millionaire Mind"

หนังสือเล่มนี้เขียนถึงแนวคิดและการวางแผนทางการเงินในรูปแบบที่เข้าใจง่ายผ่านตัวหนังสือที่ไม่ซับซ้อน จัดว่าเป็นหนังสือที่ผมอ่านบ่อยเล่มนึงเลยหล่ะ ได้แนวคิดที่นำไปใช้ได้ในชีวิตจริง
ผมนำ 17 ข้อคิดส่วนหนึ่งใน "ถอดรหัสลับสมองเงินล้าน" มาแบ่งปันครับ ^____^
“ให้เวลาผมห้านาที แล้วผมจะทำนายอนาคตทางการเงินตลอดชีวิตที่เหลือของคุณ”

                   ประโยคอหังการของ T. Harv Eker เจ้าของวลีเด็ด “ฉันมีสมองเงินล้าน” ที่ทำให้หนังสือเล่มนี้กลายเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของวงการหนังสือสหรัฐอเมริกา ให้ทุกคนได้รับรู้ว่าเราทุกคนมี “แผนผังการเงิน” อยู่ในสมองของเราทุกคน มันคือแฟ้มข้อมูลที่เก็บงำทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องเงินๆทองๆในชีวิตพวกคุณ มันคือตัวกำหนดวิธีการหาเงิน ใช้เงิน เก็บเงินของคุณโดยไม่รู้ตัว


               T. Harv Eker เปลี่ยนตัวเองจากคนถังแตก ให้กลายเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้ในเวลาสองปีครึ่ง เค้าได้ถ่ายทอดเคล็ดลับความสำเร็จทางการเงินของเค้าสู่ผู้สัมนากว่า 30,000 คน และก่อตั้งบริษัท Peak Potential Training ซึ่งปัจจุบันเป็นหนึ่งในบริษัทที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในสหรัฐอเมริกาและแน่นอน เค้าได้ถ่ายทอดเคล็ดลับเหล่านั้นลงบนหนังสือเล่มนี้ด้วย

17 ข้อคิดส่วนหนึ่งใน ถอดรหัสลับสมองเงินล้าน "Secrets of the Millionaire Mind"ฺ  

1. คนรวยเชื่อว่า "ฉันควบคุมชะตาชีวิตของตัวเอง" คนจนเชื่อว่า "ฉันถูกลิขิตให้เป็นอย่างนี้"
2. คนรวยเล่นเกมการเงินเพื่อที่จะเอาชนะ คนจนเล่นเกมการเงินเพื่อไม่ให้แพ้
3. คนรวยทุ่มเทเพื่อความรวย คนจนแค่อยากรวย
4. คนรวยคิดการใหญ่ คนจนคิดการเล็ก
5. คนรวยมุ่งความสนใจไปที่โอกาส คนจนมุ่งความสนใจไปที่อุปสรรค

6. คนรวยชื่นชมผู้ร่ำรวยและประสบความสำเร็จคนอื่นๆ คนจนชิงชังผู้ร่ำรวยและประสบความสำเร็จ
7. คนรวยคบหาสมาคมกับคนที่มองโลกในแง่ดีและประสบความสำเร็จ คนจนขลุกอยู่กับคนที่มองโลกในแง่ร้ายหรือไม่ประสบความสำเร็จ
8. คนรวยเต็มใจโปรโมทตัวเองและคุณค่าของตนเอง คนจนมองการขายและโปรโมชั่นในแง่ลบ
9. คนรวยมองปัญหาเป็นเรื่องเล็ก คนจนมองปัญหาเป็นเรื่องใหญ่
10. คนรวยเป็นผู้รับที่ยอดเยี่ยม คนจนเป็นผู้รับที่ยอดแย่

11. คนรวยเลือกที่จะได้รับเงินตามผลงาน คนจนเลือกที่จะได้รับเงินตามระยะเวลาที่ทำงาน
12. คนรวยเลือก "ทั้งสองทาง" คนจนเลือก "ทางใดทางหนึ่ง"
13. คนรวยสนใจมูลค่าทรัพย์สิน คนจนสนใจแต่รายได้จากการทำงาน
14. คนรวยเก่งเรื่องการบริหารเงิน คนจนเก่งเรื่องการบริหารเงินแบบผิดๆ
15. คนรวยให้เงินทำงานหนักเพื่อตัวเอง คนจนทำงานหนักเพื่อให้ได้เงิน

16. คนรวยมุ่งไปข้างหน้าแม้จะหวาดกลัว คนจนปล่อยให้ความกลัวหยุดยั้งตนเอง
17. คนรวยเรียนรู้และเติบโตอยู่ตลอดเวลา คนจนคิดว่าตัวเองรู้ดีอยู่แล้ว


แปลและเรียบเรียงโดย : พูลลาภ อุทัยเลิศอรุณ บุญศรี ศรีบุญรัตนชัย

ถูกใจแบ่งปันให้เพื่อนอ่านได้นะครับ ^_________^

เพจผมเองครับ ทำขึ้นสำหรับแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับมุมมองทางการเงินครับ เจออะไรดีๆไม่อยากเก็บไว้คนเดียว เขียนบล๊อก แชร์เพจให้ได้อ่าน แบ่งปันมีความสุขดีครับ ฝากด้วยนะครับ 

วันอังคารที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Wow!!ขนม Kit-Kat

"คิดจะพัก คิดถึงคิทแคท"
80 ปีแล้วที่ยังใช้สโลแกนนี้จะเป็นตำนานไปแล้วก็ว่าได้ ^^
ในสมัยเด็กๆผมชอบกินคิทแคทมากๆ ก็พึ่งรู้เหมือนกันแหละว่าคิทแคทมีรสชาติแปลกๆใหม่ๆเสมอ
ผมชอบการสร้างสรรค์รสชาติของคิทแคทมากเลย แต่ยังไม่เคยลองหมดนะ กินแต่ช๊อคโกแลต 55+
ผมไปเจออยู่เว็ปนึงน่าสนใจมากๆเกี่ยวกับคิทแคทเลยอยากแบ่งปันให้ได้อ่านกัน ^___^
                                 

                 พูดถึงประวัติความเป็นมาของ Kit Kat นั้นย้อนหลังกันไปยาวกว่า 70ปีเลยหละ
Kit-Kat เป็นช๊อกโกแลตที่ทำขึ้นในประเทศอังกฤษมาก่อน ตั้งแต่ปี 1935 
ใช้ชื่อครั้งแรกว่า “Chocolate Crisp”   โดยบริษัทที่ชื่อว่า Rowntree’s ในคอนเซปน์ที่ว่า 
"เริ่มทำช๊อกโกแลต บาร์ที่สามารถพกพาไปทานกับอาหารกล่องได้"

การทำช๊อกโกแลตช่วงแรกก็เป็นแบบ 4อันที่ต่อๆกัน

               ปี 1937  Kit Kat เป็นที่นิยมมากในอังกฤษ บริษัท Rowntree’s เห็นว่าชื่อหน้าแพคเกจนั้นสั้นไปจึงเติม Kit-Kat เพิ่มและวางขายในเดือนพฤษภาคม และยังเป็นจุดเริ่มต้นของคำว่า “Break” ที่เราคุ้นหูกันมาจนทุกวันนี้อีกด้วย มีการทำโฆษณาต่างๆมากมาย
ทำให้เวลาที่พูดถึง Kit Kat เราก็จะนึกถึงคำว่า Break เป็นของคู่กันในทันที

ปี 1937 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา (คำว่า Kit Kat มาจากชื่อของกลุ่มคนที่รวมตัวกันเรียกตัวเองว่า Kit Kat Club ในประเทศอังกฤษสงสัยจะนิยมมากจริงๆ)
: เคยเห็น Kit Kat Blue ไหม (ผมคนนึงที่ไม่เคยเห็น)


Kit Kat Blue ถูกทำขึ้นในช่วงสมัยของสงครามโลกครั้งที่สอง ปี 1942

ทำให้ขาดนมในการผลิต ช๊อกโกแลต Kit Kat ตอนนั้นจึงเป็นช๊อกโกแลตที่ไม่ได้ผสมนมและ
แพคเกจเป็นสีน้ำเงิน
“No more Chocolate Crisp till after the war” เป็นคำที่ได้รับแจ้งจากบริษัท Rowntree’s ณ เวลานั้น

ปี 1958 คิทแคทเริ่มเข้ามาในไทย
ปี 1973 การเดินทางของ Kit Kat เข้าสู่ประเทศญี่ปุ่น
ปี 1988 บริษัทเนสเล่ ร่วมกับ Rawntree’s เกิดช๊อกโกแลตในรูปแบบหน้าตาที่พวกเราเห็นกัน
ปี 1990〜เป็นยุคใหม่และมีการคิดค้น Kit Kat รสชาติใหม่ๆ
ตั้งแต่เริ่มผลิตจนถึงปี 1996 Kit Kat ทำแต่รสช๊อกโกแลต ในปีนี้ถือเป็นครั้งแรกของโลก
ที่ Kit Kat ผลิตรสชาติใหม่ คือรสส้มออกมาขาย

และปี 1999 ก็เริ่มมีการทำขนาดต่างๆออกมามากมายอีกด้วย

รสช๊อคโกแลตกล้วยหอม
รสคาราเมล

รสคุกกี้

รสเครื่องดื่มเกลือแร่

รสเกาลัด
รสไวท์ช๊อกโกแลตถั่วแดง

รสชามะลิ

รสคาปูชิโน่

รสคัสตาร์ดผลไม้รวม

รสชาเขียวนม

รสส้มบรั่นดี

รสเชอร์รี่

รสไวท์ช๊อคโกแลต

รสกาแฟลาเต้

รสผักผลไม้

รสขนมโอฮากิถั่วเหลือง

รสข้าวเหนียวถั่วแดง

รสครีมถั่วแดง

รสบลูเบอร์รี่ชีสเค้ก

รสบลูเบอร์รี่ชีสเค้ก

รสผลไม้รวม

รสพริก!!

รสพุดดิ้งนม

รสมะม่วง
รสกีวีฟรุ๊ต

รสแอปเปิ้ล

รสสัปปะรด

รสเมลอน

รสโกโก้เข้มข้น
ฝากด้วยนะครับ มือใหม่หัดเขียนเพจ^_______^


ขอบคุณข้อมูลดีๆจากhttp://japaijapan.com/kit-kat-japan-9/
http://www.dek-d.com/board/view/pegasus_023/
http://japanesekat.com/category/generalinfo/
http://www.flickr.com/photos/friedtoast/sets/72157594224722117/
http://www.mikesblender.com/indexblog88.htm